ทาส

๑. ความเป็นมาhistorical backroundของคนผิวดำ หรือผิวสีในประเทศอเมริกา เริ่มแรก เขาเข้ามา
ใน
อเมริกา
ได้
อย่างไร และ
ด้วย
เหตุผลอะไร

การค้าขายทาสระหว่างทวีปยุโรป แอฟริกา และอเมริกา เริ่มตอนชาวโปรตุเกส (แล้วก็อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และเนเธอร์แลนด์) แล่นเรือสำเภาไปฝั่งตะวันตกของแอฟริกา
เพื่อ
ไปซื้อมนุษย์แล้วก็ส่งพวกเขาไปอเมริกาใต้ เกาะในทะเลคาริบเบียน และอเมริกาเหนือ

พวกเขาเข้ามา
ใน
อเมริกา
โดย
เรือสำเภา สภาพในเรือแย่มากๆ เจ้าของเรือบรรจุพวกเขา
ไว้
ในเรือเหมือนสินค้า ทำให้คนเสีย
ชีวิตมากมาย

แล้วเจ้าของเรือก็ขายคนที่รอดชีวิตให้คนที่อเมริกาที่ทำให้พวกเขาทำงานที่ไร่และสวนกาแฟ โกโก้ อ้อย และฝ้าย หรือไม่ก็ทำงานที่เหมืองทองคำและเงิน
ทำงาน
ก่อสร้าง และ
งาน
ต่างๆ
ในฐานะ
ทาส

๒. ในสมัยนั้น คนอังกฤษมีอำนาจมาก และบังคับให้ชาวผิวดำคนผิวสีจากประเทศเคนยาย้ายมาอยู่ทวีปอเมริกาเพื่อเป็นทาส ใช่หรือไม่

ไม่ใช่ครับ สมัยนั้นบริเวณแถวๆ เคนยาเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษเรียกว่า British East Africa แล้วชาวอังกฤษก็บังคับให้ชาวผิวดำคนผิวสีย้ายไปตะวันออกกลางและประเทศอินเดียเพื่อเป็นทาส ตรงข้ามกับทาสที่อเมริกาทาสส่วนมากที่นั่นทำงานเป็นคนใช้

๓. ประเทศอังกฤษเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่เหตุใดจึงสามารถส่งออกชา กาแฟ และฝิ่นได้

ประเทศอังกฤษเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ตอนนั้นเป็นอาณาจักรใหญ่มาก ก็สามารถส่ง
สินค้า
ออกจากอาณานิคมต่างๆ
ได้
เช่น ชาและฝิ่นจากอินเดีย และกาแฟจากมาเลเซีย
เป็นต้น

๔. เหตุผลที่ใช้แรงงานทาส คือเพราะ คนผิวขาวให้เหตุผลว่า คนผิวขาวมีอารยธรรมที่เจริญกว่าคนผิวดำ และคนที่เข้มแข็งresolute, strong, fitกว่าจะอยู่รอด ซึ่งคนที่อ่อนแอกว่าก็จะสูญสิ้นและตายไป แนวคิดและทฤษฎีเหล่านี้ เป็นของใคร

ทฤษฎีของการคัดเลือกตามธรรมชาติของ Charles Darwin (แล้วก็ Alfred Russel Wallace) บอกว่าสัตว์และพืชซึ่งมีความเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าก็จะมีชีวิตอยู่ แล้วก็จะมีลูกหลานจำนวนมากกว่าสัตว์และพืชอื่นๆ ทำให้พันธุ์มีวิวัฒนาการต่อความเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม

จริงแล้ว มีบางคนใช้ทฤษฎีข้อนี้เพื่ออ้างว่าคนผิวขาวมีสิทธิ์ที่จะใช้คนผิวสีเป็นทาส

แต่ Darwin เองไม่เคยพูดแบบนี้ แล้วทฤษฎีของเขาก็ไม่ได้
กล่าว
อะไรเกี่ยวกับอารยธรรม
ซึ่ง
จริงๆ แล้ว Darwin เป็นผู้ที่เห็นด้วยกับการเลิกทาส

๕. เหตุใด ในระหว่างปี ค.ศ. ๑๕๐๐–๑๘๐๐ จึงมีการนำพาแรงงานทาสจากแอฟริกาตะวันตกเข้าสู่อเมริกาจำนวนมากถึงประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ คน

เหตุใดที่การนำพาแรงงานทาสจากจำนวนคนถึงขนาดนั้น ก็คือ มีคนเป็นล้านที่เสียชีวิตตอนการเดินทาง การทำไร่ฝ้าย และการขุดเหมืองแร่เงินแร่ทองคำ เป็นงานลำบากหนักมากๆ เพราะยังไม่มีเครื่องเพื่อช่วยเหลือทำ เจ้าของไร่ฝ้าย สวนอ้อย และเหมืองก็ไดกำไรมากมาย เพราะได้แรงงานให้ฟรี

๖. ในสมัยนั้น ใครคือพ่อค้าคนกลาง ที่ค้าทาส หรือค้ามนุษย์ ให้กับทวีปอเมริกา หรือ ขายให้กับชาวอังกฤษนั่นเอง

ไม่ใช่คนอังกฤษเท่านั้นครับ มีพ่อค้าคนกลางจาก
หลายที่
เช่น ที่แอฟริกามีเผ่าที่
โจมตี
เผ่าอื่นๆ จับคน
มา
เป็นเชลย
เพื่อที่จะ
ขาย มีเจ้าของเรือสำเภาซึ่งนำข้ามทะเล
มา
ถึงอเมริกา แล้วก็มีคนที่อเมริกา
มา
ซื้อ
“สินค้าสองเท้า”
แล้วก็
ประมูลขายพวกขาว
ที่ที่ประมูลสินค้า

๗. คุณรู้จักกลุ่ม KKK Ku Klux Klan หรือไม่ ตอนนี้มีชื่อใหม่ว่าอะไร มีสโลแกนที่ว่า “White Power” ใช่หรือไม่ คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับกลุ่มนี้

ผมรู้จักกลุ่มที่มีชื่อว่า KKK ครับ คิดว่าไม่มีชื่อใหม่มันก็ยังมีชื่อเดิม แต่ตอนนี้มีคนที่มีความคิดคล้าย ๆ กับพวกเขา ตอนนี้เรียกพวกเขาว่า “White Supremacists” คิดว่าบางคนใช้สโลแกน “White Power” หรือไม่ก็ “White Pride” (ซึ่งเลียนแบบ “Black Power” และ “Gay Pride”)

ตอนแรกคนใน KKK น่าตลก เพราะแต่งตัวเหมือนเด็กที่ใส่ชุดผีตอนฮาโลวีน และมีชื่อตำแหน่งเหมือน Harry Potter เช่น “Imperial Wizard” แต่ในรุ่นก่อนมันน่ากลัวจริง ๆ ตอนนั้น
พวกขาว
แขวนคอคนผิวดำหรือผิวสี
เป็นจำนวนมาก
ในปัจจุบันคิดว่า KKK เกือบ
หมด
ไปแล้ว แต่อเมริกา
ก็
ยังมีปัญหาใหญ่
ที่คนเกลียดคนผิวดำอยู่

๘. ใครคือผู้ที่ประกาศเลิกทาสในอเมริกา

ผู้ที่ประกาศเลิกทาสในอเมริกาคือประธานาธิบดี Abraham Lincoln

๙. ในประเทศอเมริกาสมัยที่มีทาส มีทาสคนผิวขาวหรือไม่

ในประเทศอเมริกาสมัยที่มีทาส ไม่มีทาสคนผิวขาว แต่มีคนผิวขาวซึ่งต้องทำงานให้เจ้าของเหมือนกับทาสเพื่อใช้หนี้ (indentured servants) แล้วก็มีทาสลูกครึ่งซึ่งมีผิวเกือบขาว

๑๐. การเลิกทาสในประเทศอเมริกา สงคนทำให้สังคมในอเมริกาเปลี่ยนไปอย่างไร

ตอนแรก การสงคนผิวดำผิวสีไม่ได้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงมากเพราะคนผิวขาว โดยเฉพาะในทางใต้ ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง และอาจจะเพราะว่าคนผิวดำไม่สามารถเอาอะไรของเตัวเองจากแอฟริกามาด้วยได้ ยกเว้นความคิด ความเชื่อ และควาทรู้ คิดว่าพวกเขาก็ปรับตันเองกับสังคมมากกว่าทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป แต่ยังมีอิธิผลอยู่ ในดนตรี เต้น ศิลปะ อาหาร ศาสนา และการเมือง เป็นต้น